ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อน น้ำแข็งกับน้ำอัดลมเริ่มช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ผมมองไปเห็นฝั่งตรงกันข้าม เปาะเปี๊ยะสดกล่องละ 30 บาท คือป้ายที่แปะไว้หน้าตู้กระจกเล็กๆ ผมเดินลุกออกจากที่นั่งทุกคนสงสัยว่าผมจะไปไหน ผมหันมาที่น้องและแม่แล้วส่งยิ้มมุมปาก
ผมเสี่ยงตายข้ามถนนไปสั่งแล้วแม่ค้าก็บอกว่า…เดี๋ยวไปส่งให้นะคะ ผมกลับมาที่โต๊ะเฉลยว่าไปไหนมาทุกคนตื่นเต้นกับเปาะเปี๊ยะสดแก้เผ็ด ราคา 30 บาทที่กำลัง จะมาถึง เราชะเง้อคอดูว่าเมื่อไหร่จะมา นานพอดู นานกว่าอาหาร 4-5 อย่างบนโต๊ะเสียอีก แล้วก็มาถึง แม่ค้าเดินเอามาเสริฟ หน้าตาน่ารับประทานมาก(อาหารน่ะแม่ค้ามีอายุแล้ว) น้ำจิ้มถ้วยใหญ่มาก เราดูแล้วเราคิดตรงกันว่านี่ไม่ใช้เปาะเปี้ยสด นี่คือก๋วยเตี๋ยวลุยสวนชัดๆ จะอะไรก็ช่าง รีบทานเหอะ จากของที่คิดว่าจะเอามาทำให้หายเผ็ดกับกลายเป็นนั่งรอของจานนี้จนหายเผ็ดไปแล้ว
13.25 เราเช็คบิลเรียบร้อยด้วยราคา 385 บาท ออกเดินทางสู่การจองตั๋วกลับบ้าน ทางผ่านมีเซเว่น ตุนอะไรสักหน่อยก่อนดีไหมน้องเอ่ยขึ้นมา ผมเห็นด้วยอยู่แล้วเพราะไม่คิดจะไปซื้ออะไรกินบนรถไฟอยู่แล้วแพงจะตาย
จากร้านแซบนัว แซบสุด นัวจริงจัง ไม่นานนักก็มาถึงร้านเลขเจ็ด เซเว่นเพื่อนที่รู้ใจและรู้กระเป๋าตังค์มากที่สุด แอร์เย็นฉ่ำ โปรโมชั่นแจกสแตมป์ ราคาที่เป็นมาตรฐาน มั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของประเทศ เซเว่นไม่เคยฟันหัวเรา เดินวนไปมาหาของทานเล่นรถบนรถไฟ บ่ายสองถึง หนึ่งทุ่ม ผมคำนวณในใจว่าห้าชั่วโมงบนนั้น จะหิวอีกไหมทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นเหยื่อ พ่อค้าแม่ค้าเขี้ยวลากโบกี้รถไฟ ผมได้แซนวิชโบโลน่าหมูหยองมาสองชิ้น น้องสาวคนโตได้สาหร่ายมาชีตะ สาหร่ายจากค่ายเบียร์สิงห์ ปกติก็เถ้าแก่น้อยนั้นแหละ แต่ที่เลือกมาชิตะเพราะ ได้แสตมป์… 3ดวง กันเลยทีเดียว น้องสาวคนเล็กจัดกาแฟเย็นคู่กับชีสไบค์ เพราะมีโปรโมชั่นอยู่ และน้ำสิงห์ขวดใหญ่อีก 2 ขวด ปกติขวดละ 14 โปร 2ขวด 22 บาท เซฟๆๆๆ ก่อนจ่ายเงินผมหยิบ สนิกเกิ้ล ปกติ 27 ลดเหลือ 20บาท 1 อัน
จ่ายเงินเรียบร้อย นาฬิกาบอกว่าเวลาเลย บ่ายครึ่งมาสิบนาทีแล้ว เรามุ่งหน้าตรงช่องขายตั๋ว เราเตรียมการกันที่ร้านแซบนัวเรียบร้อยแล้วว่า จะทำแบบครั้งแรกอีกครั้ง คือเดินไปมึนๆ ไปบอกว่า กรุงเทพสี่คนครับ ซึ่งคราวนี้ผมส่งแม่ไปบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นการผิดสังเกต มาถึงช่องขายตั๋วผมและน้องยืนเป็นกำลังใจให้แม่อยู่ข้างๆช่องขายตั๋วยืนไม่ไกลนักเพราะหากพนักงานถามแม่ว่าสี่คนไหน พวกเราจะได้ส่งยิ้มให้เค้าได้ ไม่นานนักก็ถึงคิวแม่ปฎิบัติการ ผ่านฉลุย…ตั๋วฟรีสี่ใบ เยสสสส สำเร็จแล้วหากแต่เวลายังไม่ถึงที่กำหนด เหลือประมาณ 15 นาที เราไปหามุมนั่งรอ ไม่นานนักน้องๆก็ชวนกันไปห้องน้ำ เป็นการทิ้งทวนก่อนขึ้นเครื่อง(ฟังดูดีอย่างกะเครื่องบิน)
13.55 อีกห้านาทีจะถึงเวลาที่รถไฟจะมา…แต่น้องยังไม่มา เสียงเรียกจากลำโพงก็ดังขึ้น รถไฟเที่ยวกรุงเทพหัวหินกำลังจะเข้าสถานีแล้วคราบบบบบ ผมกับแม่มองหน้ากัน…น้องยังไม่มา เอาล่ะ งานนี้เราจะกลับไปอยู่สามคนพ่อแม่ลูก ทิ้งน้องไว้ที่นี่แหละ แผนทิ้งน้องไว้หัวหินกำลังจะเริ่มขึ้นแต่ก็พังทลาย เพราะสองแฝดเดินมาพอดี เราเดินไปรอรถไฟข้างรางกัน ผมบอกกับทุกคน จัดการแบ่งของกันแบกไป มาถึงรางรถไฟแม่เสนอไอเดีย หากเราไปรอฝั่งตรงกันข้าม จะมีโอกาสได้ที่นั่งมากกว่า เพราะคนจะลงฝั่งนี้(ฝั่งที่เราจะขึ้น)มากกว่านั้นเอง แม่ให้ผมไป บอกว่าแยกกันไป ใครได้ดีกว่าก็โทรมาหากัน ผมก้าวเท้าข้ามรางรถไฟมาฝั่งตรงข้ามกับแม่ส่งสายตา มองไปทางซ้าย เห็นหัวรถไฟไกลๆ ตรงกันข้ามเห็นแม่และน้อง แล้วรถไฟก็เข้าสถานีวิ่งตัดสายตาที่ผมมองมาทางแม่ ผมยกกล้องถ่ายโหมดวีดีโอ แม่ตะโกนอย่ามัวแต่ถ่ายเดี๋ยวไม่มีที่นั่ง
ไม่นานนักผมก็ได้ที่นั่ง เป็นเบาะนิ่มๆเป็นฟองน้ำบางๆดีกว่าครั้งแรกที่เป็นเบาะไม้ ผมถ่างขาและเอาสัมภาระที่ติดตัวมา ขยายเต็มที่ที่สุดเพื่อไม่ให้ใครมายุ่งกับจุดยุทธศาสตร์นี้ ข้างๆที่ผมจอง มีแม่ลูกคู่หนึ่ง เป็นชาวต่างชาติ ขาวหมวย กำลังหาที่พึ่ง ผมพลาดไปแล้วดันไปสบตาเธอเข้า เธอมาหาผมพร้อมกับตั๋วในมือ จับใจความได้ว่าจะไปกรุงเทพใช่ขบวนนี้ไหม ผมก็อธิบายไป แกเห็นว่าคุยกะแกได้เอาใหญ่เลย ถามเรื่องเวลาต่อ ผมก็อธิบายไปชี้ไปที่ตั๋ว แกก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ ก่อนจะขอบอกขอบใจแล้วกลับไปนั่งที่ แม่โทรมาพอดีบอกว่าได้ที่แล้ว ผมก็บอกว่าผมก็ได้ ต่างคนต่างบอกว่าที่ที่ได้ดีอย่างไรเพื่อให้อีกฝ่ายยอมเดินไปหาอีกฝ่าย ผมบอกเรื่องเบาะนิ่มๆ แม่ไม่พูดอะไร แล้วก็พาน้องเดินมาหาผม ผมชนะ พวกเราตื่นเต้นกับที่นั่ง สบายตูด นิ่มกว่าขามาเยอะเลย เราจัดของขึ้นที่สูง และวางใต้ที่นั่งไม่นานนักก็เรียบร้อย
ผมนั่งนึกถึงแว่นตากันแดดที่ผมลอง ไปดูตอนที่ไปดูตั๋วครั้งแรก แว่นกันแดด 100 บาท งานดีมีตัวนูนผมเก็บเอามาลังเลว่าจะลงไปซื้อดีไหม ร้อยหนึ่งจะคุ้มไหม ผมบอกแม่ แม่ห้ามว่าอย่าลงไปเลยเดี๋ยวไม่ทัน ผมบอกว่า ทันๆๆแป๊ปเดียวดูไว้แล้วลงไปฉก จ่ายตังค์แล้วมาเลย …ผมบอกด้วยความมั่นใจพร้อมลุกขึ้นแล้วรีบลงไปสอยแว่นในทันที อย่างที่บอกแม่ ผมลงไปยื่นแบงค์ร้อย หยิบแว่นแล้วส่งยิ้มให้แม่ค้า แม่ค้ายิ้มตอบพยักหน้า แล้วผมก็วิ่งขึ้นรถไฟ เดินมาที่นั่ง…ผมส่งยิ้มให้แม่และน้องพร้อมอวดแว่น ได้มาแล้วววววผมโอ้อวดทุกๆคน แม่หยิบไปดู น้องหยิบไปดูทุกคนพนักหน้า พร้อมพูดออกออกมาว่าสวยดี 100 บาท ทุกคนได้ใส่หมด เป็นกิจกรรมสมานฉันท์ ในราคาคนล่ะ 25 บาท คุ้มแล้ว
14.05 รถไฟออกจากชานชาลาค่อยๆเคลื่อนไป ผมนึกในใจภายใต้แว่นกันแดดอันใหม่…ลาก่อนหัวหิน ไม่นานจะกลับมาอีกครั้ง ไม่นาน สัญญา….
กำลังจะเข้าโหมดซึ้งรถไฟเคลื่อนผ่านต้นไม้ใหญ่ แดดส่องเข้ามาฝั่งที่เรานั่ง ชิป…. เอาล่ะซิ ลืมนึกไปเลยว่าฝั่งนี้แดดจะส่อง ตอนนี้เราทั้งสี่นั่งตัวตรงราวกับนักเรียนเตรียมทหาร หลังติดเบาะ คอตรงตั้งฉากกับแนวเงาของหน้าต่างเพื่อหลบแสงแดด ไม่นานผมสังเกตเห็นว่าหน้าต่างมีชั้นที่เอาไว้กันแสงด้วย เป็นแผ่นเหล็กบางๆ มีช่องแสงเป็นรูยาวๆเพื่อให้ลมและแสงเข้ามาได้ ลองเลื่อนลงดู ว้าวแปลกดีจัง ได้อารมณ์เหมือนเป็นไก่ เป็นกระต่าย หรืออะไรสักอย่างที่ถูกซื้อมาจากสวนจตุจักร แล้วใส่กล่องนมไทย-เดนมาร์คแล้วเจาะรูรอบๆ เพื่อรับออกซิเจน
จากสถานีหัวหินสัก 10 นาที หลอดไฟในรถไฟถูกเปิดขึ้น เราตื่นเต้นกันมาก(จริงๆตื่นเต้นตั้งแต่ขาไปแล้วแต่ลืมเล่าเพิ่งนึกได้) เราสงสัยว่าเปิดทำไม หรือว่า… กำลังจะคิดออกภาพที่หน้าต่างสองข้างทางก็มืดลง ใช่แล้วครับรถไฟเข้าอุโมงค์ ชอบมากตื่นเต้นดี นี่เป็นจุดเดียวที่มีอุโมงค์ตั้งแต่ กรุงเทพถึงหัวหิน สั้นๆครับไม่ถึง 40 วินาทีก็ออกมาสู่แสงแดดอีกครั้ง ในใจผมเลยคิดถึงหนังไทยเรื่องต่างๆที่เป็นภาพรถไฟจากเชียงใหม่ ลอดอุโมงค์ หรือวิ่งริมเขาบรรยากาศสีเขียว ทริปหน้าไปเชียงใหม่กันดีกว่า การผจญภัยครั้งใหม่ผุดขึ้นในหัวอีกแล้ว แค่คิดก็มันส์แล้ว สนุกจริงจริงๆชีวิต
ไม่นานนักแสงแดดก็ค่อยๆอ่อนแรงลง ผมก้มดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือนี่เพิ่งจะบ่ายสามเองทำไมแดดอ่อนล่ะ….ยังไม่ทันละสายตาจากหน้าปัด ก็มีหยดน้ำลงมาที่หน้าปัด นั่นคือ ฝน คุณพระ!!!!ฝนตกบนรถไฟ คนอื่นเค้าปิดหน้าต่างกันแล้วทำหน้าตาเซ็งๆ แต่เรายิ้มดีใจที่ได้เห็นสายฝน ม้าเหล็กกำลังฝ่าสายฝนจากหัวหินไปกรุงเทพ ได้บรรยากาศจริงๆครับ ครบรสมาก หากคุณนั่งรถไฟติดแอร์ ยังไงก็ไม่ได้บรรยากาศแบบนี้แน่นอน ผมปิดหน้าต่างแค่ครึ่งเดียว ให้ละอองน้ำได้เข้ามาบ้างเย็นสบายดี ยังไม่ทันจะอิ่มกับสายฝน ….หมดรอบ เมฆฝนหายไป แดดกลับมาอย่างรวดเร็ว….เรากลับไปเป็นนักเรียนเตรียมทหารอีกครั้ง
ด้วยความที่เป็นรถไฟฟรี วรรณะต่ำสุด ล่างสุด ถูกสุด ชั้นล่างสุด เราต้องเป็นตัวหลบ.. ตัวหลบคือทุกสถานีที่จะมีรถไฟวิ่งสวนทางกับขบวนเรา เราจะถูกโยกไปรางสำรอง นั่งนิ่งๆให้ขบวนที่ไฮโซกว่า วิ่งสวนไป เพราะฉะนั้นเราจะได้เห็นบรรยากาศทุกสถานี เห็นนานกว่า พวกรถไฟไฮโซพวกนั้นมาก ดีกว่าเห็นๆ ร้อนกว่าเห็นๆ
ระหว่างทางที่แวะสถานีจะมีแม่ค้าขึ้นมาขายของ ซึ่งตรงนี้แม่ค้าประจำสถานีของจะถูกกว่าแม่ค้าที่อยู่บนรถไฟ อธิบายก่อน คือ รถไฟของเราจะมีแม่ค้า สแตนบายติดรถไฟตลอด ราวกับอยู่กินกันในนี้เดินตลอด ข้าวผัดกระเพราถาดโฟมบางๆแบบขายผลไม้สดในห้าง มีข้าวบางๆราดผัดกระเพราโป๊ะไข่ดาวแห้งๆ พร้อมช้อนพลาสติก คนอื่นไม่รู้แต่ถ้าเป็นผม 3 ถาดก็กินหมด ถาดล่ะสามสิบบาท นั่นคือแม่ค้า ส่วนพ่อค้า ผมดูแล้วแกสองคนน่าจะเป็นสามีภรรยากัน เดินสวนกันไปมา ถึงตอนนี้อาจจะเป็นแค่เพื่อนร่วมงานแต่ไม่นาน เชื่อผมเหอะเดี๋ยวก็ได้กัน แกขายน้ำอัดลม กระป๋องละ 25-30 บาท งงไหมครับทำไมผมถึงบอกว่า 25-30 ทำไมไม่ 25 หรือ 30 ไปเลย เพราะผมได้ยินคนถามราคา หากเป็นคนแข็งๆหน่อยถามว่า กระป๋องเท่าไหร่่ ทำน้ำเสียงแบบกินก็ได้ไม่กินก็ได้เค้าจะตอบว่า 25 ครับ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนนิ่งๆอ่อนต่อโลก หยิบโค้กกระป๋องขึ้นมาแล้วยื่นแบงค์ร้อยให้ คุณจะได้ตังค์ทอน 70 บาท ข้าวเหนียวข้าวกล่องมีโอกาสขึ้นมาขาย แต่เครื่องดื่ม ผมเห็นพ่อค้าประจำสถานีจดๆจ้องๆไม่กล้าขึ้น ราวกับว่าเป็นถิ่นของพ่อค้าข้างบนรถ สงสัยจดสัมปทานไว้ พวกเราไม่เดือนร้อนอยู่แล้ว พวกเรามี น้ำสิงห์ขวดโต 1.5 ลิตร สามขวดเพียงพอกับการดื่ม แค่ว่าพอเห็นโค๊กกระป๋องที่มีไอเย็นเกาะรอบกระป่องแล้วไหวหวั่นเท่านั้นเอง
ผมไม่มีทีท่าว่าจะเสียท่าให้กับแม่ค้าเลยสักนิดจนมาถึง โพธาราม แม่ค้าอยู่ด้านล่าง อายุไม่น่าจะถึง 30 น่าตาน่ารักสมกับที่เค้าเรียกว่าคนงามโพธารามยิ่งนัก ยืนแบกถาดสแตนเลสตราหัวม้าลาย ในถาดมีกระทงคล้ายกับที่อยู่ตามทางสามแพร่ง กระทงเล็กๆ มีของภายในสีเขียวอมเหลือง ผมชะโงกไปดู อยากรู้ว่าอะไรแต่สิ่งที่ได้ยินคือ สิบบาทค่าาาา ผมถามว่ามันคืออะไรครับผม ข้าวราดแกงเขียวหวานคะ เสียงนุ่มกว่าตอนที่หล่อนตะโกนว่า”สิบบาท” มาก ผมไม่ลังเล ยื่นมือออกจากหน้าต่างรถไฟหยิบมาหนึ่งกระทง แล้วบอกบุพการี แม่มีเหรียญสิบมั้ย แม่ก็น่ารักจ่ายไปสิบบาท เราตื่นเต้นกันมาก ผมเอากล้องขึ้นมาถ่ายภาพ แอบชำเลืองด้วยหางตาถึงโต๊ะข้างๆทุกคนแอบเหล่มาที่เรา ผมทำเป็นตื่นเต้นเป็นสามเท่าเพื่อนยั่วน้ำลายชาวบ้าน ถ่ายไปสักพัก ก็เริ่มชิม สำหรับเมนูนี้ ผมว่า 6-7 กะทงน่ะผมถึงจะอิ่ม ผมตักคำแรกพยายามคอนโทรลให้มีข้าวไก่และน้ำแกงให้อยู่ในหนึ่งช้อนก่อนจะค่อยๆเคลื่อนเข้าปากไป สัมผัสแรก…ข้าวที่คงโดนลมมาสักพักตรงที่อยู่ขอบกระทงถูกปรับสภาพให้กลับมาแข็งเหมือนข้าวสารอีกครั้ง แต่ยังไงดี ที่นั่งข้างๆยังคงชำเลืองผมอยู่ ผมทำสีหน้าแบบช่องทีวีแชมป์เปี้ยนราวกับว่ามันยอดมากฉีกยิ้มแล้วพยายามตักอีกคำ เพียงแค่สี่คำก้หมดกระทง ผมว่าต้องมีคนกลืนน้ำลายตามมั้งแหละ ได้ผลครับโต๊ะข้างๆชะโงกไปซื้อสองกะทง มีความสุขจัง ถ้าไม่นับเรื่องข้าวแข็ง รสชาติโอเคน่ะ อร่อยเลยแหละ ใครมีงานบุญงานบวชไปหาได้ที่ สถานีโพธาราม
ไม่นานแสงอาทิตย์ก็ค่อยๆลาจากเราไป หลอดไฟถูกเปิดอีกครั้ง เหงาแบบเห็นได้ชัด สภาพผู้คนเริ่มนิ่งๆทำหน้าเบื่อๆ คนเริ่มบางตาลงทยอยลงตามที่ต่างๆ เหลือเพียงไม่กี่คนในขบวน ช่วงนี้แหละเป็นช่วงสำรวจรถไฟ ผมคุยกับน้องเรื่องห้องน้ำ ว่าอยากเห็นกันไหมว่าห้องน้ำในรถไฟเป็นยังไง น้องตื่นเต้น เก้าอี้หน้าห้องน้ำว่างพอดีเราไปนั่งตรงนั้นแล้วผลัดกันเข้าไปชม จากสีหน้าตื่นเต้นก่อนจะเข้าไป ตัดภาพกลับมาตอนออกมาจากห้องน้ำ สีหน้าผิดกับขาเข้าอย่างสิ้นเชิง คืนนี้คงหลับฝันดีนะ
ไม่นานนักก็เข้าสู่เมืองกรุง กรุงเทพมหานคร โซนก่อนถึงหัวลำโพง จะมีชุมชนแออัดอยู่ข้างทาง นั้นทำให้รถวิ่งช้ามาก บรรยากาศไม่ดีเอาเสียเลย แม่บอกว่าทำไมปล่อยให้มาอยู่กันแบบนี้นะเราคุยกันเรื่องนี้จนเกือบเครียด ผมตัดบท เก็บของกันดีกว่า เพราะใกล้จะถึงแล้วเราทั้งสี่ใช้ง่ามนิ้วหอบหิ้วเกี่ยวสัมภาระเตรียมลงจากรถไฟ ถึงเสียที กทม อันเป็นที่รักยิ่ง 19.41 คือเวลาที่รถไฟหยุดนิ่ง
เราเดินลงมา ชานชาลาข้างๆมีรถไฟยาวมากด้านข้างเขียนว่า รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 ผมทำเป็นเดินใกล้ๆแล้วแอบดู …น่าไปมากเป็นสองชั้นมีบันไดปีนขึ้นไปนอนมีผ้าม่านส่วนตัว ว้าววว อยากๆๆๆๆ ดูดีไฮโซ แล้วก้มีความคิดผุดขึ้นอีกแล้ว นี่ขนาดชั้นสองน่ะ…แล้วชั้นหนึ่งล่ะ ไม่นานก็ถูกเฉลย ภายในโบกี้เดียวกันนั้นมีชั้นหนึ่งด้วย เป็นห้องแยกปิด ห้องใครห้องมัน น่าสนใจมาก เดินมาที่หัวชานชาลา ที่ป้ายเขียนว่า ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 13 กทมเชียงใหม่ แล้วก็มีเวลา ติดเอาไว้ 19.35 ด่วนยังไงเนี่ย นี่ 19.45 แล้วยังไม่ออกเลย อิอิ แค่เริ่มก็ไม่ด่วนแล้ว ผมเห็นแล้วก็ขำนะ ระหว่างรถด่วนชั้น 1 และชั้น 2 ชั้น 2เขียวความเร็วที่ 90/ชั่วโมง ส่วนชั้น 1 เขียน 100/ชั่วโมง แต่มันอยู่ขบวนเดียวกัน หัวรถจักรอันเดียวกัน ยังไงก็ไปถึงพร้อมกันอยู่ดี ไม่สงสัยดีกว่าเดี๋ยวว่างๆจะลองไปนั่งดูบางทีมันอาจจะวิ่งแซงกันระหว่างทางก็ได้ใครจะรู้
19.45 เราทั้งสี่ได้หย่อนก้นกลมๆที่รถแท็กซี่อีกครั้ง รถค่อยๆเคลื่อนออกจากหัวลำโพงและก็เห็นรถติดที่กรุงเทพ แหม่ภาพชินตาที่ไม่อยากคุ้นเคยกลับมาเร็วจัง 20.25 ก็มาถึงบ้าน
ทุกคนหมดแรงอยากนอน อยากอาบน้ำ เราเอาของกินที่มดจะขึ้นได้ออกมากองก่อนจะจับยัดตู้เย็น…
น้ำสิงห์ 1 ขวดเต็มๆยังไม่ถูกแกะแบกมาจากหัวหิน แวนวิชโบโลน่า 2 อันถูกอัดแน่นเปลื่ยนรูปเป็นแซนวิชเบี้ยวๆ สนิกเกิ้ล ละลายเป็นของเหลวไปแล้ว ผมบีบๆให้อยุ่ทรงก่อนยัดเข้าช่องพรีซ
และหนังสือนิ้วกลมที่ติดไปแต่ไม่ได้อ่านเลย มีติดตัวไว้อุ่นใจคะก็ถูเอาออกจากกระเป๋า
จบแล้วทริปนี้ด้วยของฝากจากหัวหินที่ซื้อจากเซเว่น ^__^
ช่วงนี้ขอขอบคุณ
- ขอบคุณ พ่อที่เสียสละอยู่บ้านดูแลสัตว์เลี้ยง น้องหมา 2 ชีวิตและน้องแมว 5 ชีวิตเดี๋ยววันหลังให้แม่เฝ้าบ้างแล้วเราไปกันใหม่สองคนน่ะ
- คนในสายที่โทรมาตลอดการเดินทางโทรมาแช่งให้เปียกฝน โทรมาป่วน แต่จริงๆอยากรู้ใช่ไหมล่ะว่าเค้าถึงไหนแล้ว ห่วงเค้าละซิ
- สุทัชเพื่อนสมัยมอต้นที่แสนน่ารักที่โทรมาเช้าวันเสาร์บอกว่าอ่านเรื่องเราแล้วสนุกดีน่าติดตามทำให้มีกำลังใจเขียน มะปรางที่คอยแจ้งเมื่อเจอคำผิด มะปรางและมดสำหรับคอมเม้นท์ดีดีที่ให้มีแรงเขียนเช่นกัน และทุกๆคนที่กดไลค์เรื่อยมา
- คุณด้วยที่หลงเข้ามาอ่านด้วย ขอบคุณที่นั่งอ่าน ยื่นอ่าน นอนอ่านจนจบ
- ขอบคุณพันทิป เพื่อนๆที่รีวิวที่พัก รีวิวการเดินทาง
- ขอบคุณเจ้านายที่ให้เงินเดือนที่เอาเป็นค่าใช้จ่ายในมาเที่ยวครั้งนี้
- ขอบคุณคนที่เสียภาษีเพื่อให้รัฐเอาไปจ่ายค่ารถไฟ ทำให้เราไม่ต้องเสียค่ารถไฟ
- ขอบคุณเซเว่นทุกสาขาที่แจกแสตมป์
- ขอบคุณกล้องแคนนอนที่บันทึกภาพแบบที่ได้ดั่งใจ
- ขอบคุณนายแบบและนางแบบที่อยู่ในภาพทั้งหมด
- สุดท้ายขอบคุณแม่และน้องสาวที่ถูกพาดพิงหวังว่าคงจะไม่โดนฟ้องนะ ทริปนี้สนุกมากและจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำตลอดไป
ไปเที่ยวครั้งหน้าจะแวะมาเล่าให้ฟังอีกนะทุกๆคน สัญญา…..
สวัสดีครับ
สมโภช จันทร์สุภา
12 สิงหาคม 2555 09:47