การเงิน การวางแผนชีวิต

เศรษฐกิจแย่จัง…อยู่ที่การปรับตัวและมุมมองมากกว่า

ประมาณสองปีหลังมานี้ เราว่าจริง ๆ แล้วที่เกิดการเปลื่ยนแปลงกับตัวผมเอง คงเริ่มมาจากการที่เราตั้งใจทำบัญชีรายรับรายจ่าย และการออมเงิน การบริหารเงิน ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเลย พอมาทำมันก็ให้เห็นข้อมูลต่าง ๆ มากมาย และทำให้เราได้คิดวางแผนชีวิตในอนาคต

ผมว่ามันมี 2 เรื่องที่เปลื่ยนแปลงผมนะ

  1. การไปญี่ปุ่นเมื่อปี 2018 และการวางแผนที่จะไปญี่ปุ่นอีกครั้งเมื่อปี 2020 เนื่องด้วยงบประมาณที่มีค่อนข้างที่จำกัดในการวางแผลนที่จะไปเที่ยวในปี 2020
    เรื่องมันเกิดขึ้นประมาณ ปลายฤดูร้อนปี 2019 ผมได้ทำการรื้อใบเสร็จการไปเที่ยวครั้งแรกในปี 2018 โชคดีเหลือเกินที่เราบ้าเก็บใบเสร็จทุกใบไว้ ผมมานั่งแยกวันที่ไป เรียงเวลาที่ระบุในใบเสร็จ ทำสรุปค่าใช้จ่ายในแต่ล่ะวัน สนุกดีจัง …แล้วถ้าเกิดเราทำในทุกวันนี้ แบบนั้นล่ะ แล้วผมก็เริ่มที่จะทำบัญชีในแอพพิเคชั่น กรอกค่าใช้จ่ายทุกบาท ทุกสตางค์ลงไปในแอพ แรกๆ มันทำไม่ได้หรอก ผมเริ่มจากทริปไปเที่ยวต่างจังหวัดก่อน ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าหนมเซเว่น ค่าเข้าอุทยาน มันสรุปได้เลยว่าทริปนี้หมดไปกี่ตังค์ ทำไปสัก 2-3 ทริป การทำแบบเป็นรายวันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น แน่นอน มันจะมีวันที่คุณขี้เกียจ นั่นจะทำให้คุณต้องมาใช้เวรกรรมในวัดถัดมา เฮ้ยยย เงินหายว่า ตรูซื้อะไรไปว้าาาา ประมาณนั้นครับ
  2. เคยฟังพอสแคสประมาณว่า การวางแผน มันไม่ใช่ 1 ปี ควรจะตอบได้ว่า อีก 10 ปี 5 ปี เราจะอยู่ตรงไหน ทำอะไร

นี่แหละครับ 2 ข้อที่ทำให้เกิดการเปลื่ยนแปลง เคยเล่นแชร์กันไหม เวลาที่ได้เงินค่าแชร์มาเนี่ยมันเหมือนรู้สึกว่าเงินฟรีได้มาเป็นหลายหมื่นเลย กองใหญ่ แต่ถ้าคุณทำบัญชี แยกกระเป๋าเงินตอนที่ส่งแชร์ไว้ จะรู้ว่า นั้นก็คือเงินเรานั้นแหละ ดอกเบี้ยที่ได้ก็ประมาณ 4-5 พันบาทเท่านั้น

และการคุมตัวเลขมันก็เกิดขึ้นในแต่ล่ะเดือน การใช้เงินไม่ให้เกิด 1 หมื่นบาทต่อเดือน และการมองเงินเก็บที่เราสะสมไว้ว่า เราจะตายเมื่อไหร่ เงินจะใช้ได้แค่วันล่ะกี่บาท แล้วเราจะทำอะไรกิน

นี่เลยครับความสนุกมันเกิดขึ้น เราเป็นแฟน Havest Moon ชอบมาก การปลูกผัก(ในเกมส์) เก็บของขาย สะสมเงิน ซื้อของ ค่อย ๆ ขยายบ้าน ซื้อไก่มาเลี้ยง ขายไข่ ขายไก่ อัพเกรดผลผลิตจากขายไข่ธรรมดา เป็นทำเครื่องแปรรูป อัพราคาให้กลายเป็นมายองเนส ราคาเครื่อง จุดคุ้มทุน ราคาเมล็ดผักแต่ล่ะฤดูกาล บลาๆๆ จากเกมส์มันเริ่มกลายเป็นชีวิต

ใช้ชีวิต บริหารเงินแบบในเกมส์ แถมด้วยการบริหารกิเลส จากการโฆษณา ของเล่นล่อตา ล่อใจ ซื้อตอนไหนดี คุ้มไหมที่จะซื้อ เดือนนี้กลางใช้เงินเยอะแล้ว ปลายเดือนเซฟ ๆ หน่อย จากที่ใช้เงินเดือนชนเดือน ก็เริ่มมีเป้าหมายมากขึ้น คนอื่นมองอาจจะเห็นเป็นความงก ความขี้เหนียว ส่วนตัวผมว่า การที่ผมห่อข้าวทำเองมากินในมื้อกลางวัน เพื่อแบ่งเงินไปกิน ปุฟเฟ่อาหารญี่ปุ่นในเดือนพิเศษ อันนี้ไม่น่าใช่งก หรือขี้เหนียว ทำชีวิตให้เป็นกราฟที่มีขึ้นพีคสุด ลงต่ำเตี้ย แบบบางวีค ใช้เงิน 0 บาทก็มี สนุกดี ผ่านไป 2 ปีล่ะ รู้สึกว่ามันเริ่มเป็นปกติ ไม่ฝืนล่ะ

ทีนี้ก็มามองเรื่องสิทธิที่ได้รับจากการเป็นประชาชนคนไทย มาศึกษาดู อายุหลัง 60 เนี้ยได้เงินค่าครองชีพ เงินประกันสังคม ส่วนลดในการขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ รวมไปถึงส่วนลดในการดูหนังสำหรับผู้อายุ 60 ปีขึ้นไป บลา ๆ

ย้อนกลับมานิดนึ่ง ช่วงที่ทำชาเลนท์กับตัวเราเองเรื่องการใช่เงิน ก็เริ่มไปซื้อของสดจากตลาดแถวบ้าน ทำก๋วยเตี๋ยวกินเอง บะหมี่เหลืองที่เราไปกินถ้วยล่ะ 50-60 บาทเนี้ย เส้นบะหมี่ครึ่งกิโลราคา 23 บาทเอง ทำได้ราว ๆ 5-7 ห่อ คืออะไรหลาย ๆ อย่าง มันดูแล้วแบบว่าเห็นช่องทางการใช้ชีวิต การกิน การอยู่

เรื่องการเงิน รายรับรายจ่ายเนี้ย ส่วนตัวผมสรุปว่า “เราต้องเห็นรูรั่วก่อนที่จะตักน้ำใส่ตุ่ม” ถ้ารูรั่วเราเยอะ รายจ่ายเยอะ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จ่ายบัตรเครดิต เงินไหลออกเดือนล่ะเกือบ 2 หมื่น แล้วแก้ปัญหาด้วยการไปตักน้ำมาใส่เพิ่ม มันก็เหนื่อย แต่ถ้าเรามานั่งพิจารณาดูรูที่น้ำมันไหลออกมา รูไหนไม่จำเป็นก็อุดก่อน ให้น้ำไหลน้อย ๆ เราอาจจะตักแค่ไม่กี่ขัน ก็เต็มตุ่ม

วันหวยออก

ล๊อตตารี่จ้าาาา

เริ่มด้วยล๊อตตารี่แต่ผมไม่ใช่คนที่ชอบซื้อหวยสักเท่าไหร่ แน่นอน มันเสี่ยง เอาหนุกหนานนานๆทีได้อยู่ ปีล่ะ 1 ครั้ง

เช้านี้กลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม กลิ่นน้ำหอมที่ฉีดมายังคงส่งกลิ่นมาอย่างต่อเนื่อง โปโลขวดเขียวขี้ม้าเหลื่ยมๆ ให้ตายเหอะจะชื่อกลิ่นนี้ไม่ได้จริงๆ เมื่อเช้าตื่นมาซัดกาแฟดริปไป ลองเอาคั่วเข็มมาชงแบบร้อนดูมั้ง ไม่ดีเท่าคั่วกลาง

ของบางอย่างที่เค้าสอนต่อกันมานั้นดีมากแล้ว แต่ถ้าได้มีโอกาสลองก็จะยิ่งจำแม่นยิ่งขึ้น

ในหัวตอนนี้มีแต่เรื่องสเต็ก เสาร์อาทิตย์นี้ไม่มีคิวต้องไปไหน ตั้งใจว่าจะเอาเนื้อร้านอิลสามระแวกมาย่างแบบอเมริกัน

เข้างานล่ะ ปู้นๆ

ครึ่งเดือน ของการเดินทางมาครึ่งปี

15 ก.ค. 2020 เดินทางมาครึ่งปี และอีกครึ่งเดือน

เช้านี้ฝนตกและหยุดก่อนออกจากบ้าน การเดินทางโดยรถตู้ และโควิดรอบตัวเรา หน้ากากเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

วานนี้ได้ลองคั่วอาราบิก้าแบบเข้ม เค้าว่ายิ่งเข้มคาเฟอีนยิ่งน้อย คั่วเสร็จก็จัดเลย 5 กรัม น้ำ 1 กา ดริฟออนไอซ์ ดื่มประมาณ 2 ทุ่ม ปรากฎว่านอนหลับปกติ

เช้านี้ติดใจในคั่วเข้มลองอีกรอบ แต่เป็นฟูลเสริฟ เมล็ด 21 กรัม น้ำแข็ง 140 น้ำร้อน 210 ดริฟออนไอซ์ และใส่กระติกมากินที่ออฟฟิต ก่อนผิดฝาทะลึ่งไปเห็นกลินรัมแอ็กแทรก เยอะไป 2 หยด กลิ่นออกมาเพี้ยนแปลกๆ กินปกติอร่อยกว่า อันนี้ไม่ควร

ทำงานล่ะ บาย

การเมือง เดือนสิบสอง ปีห้าสิบหก

การเมืองเหมือนลัทธิ

เหมือนเสรีแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว

เรามีสิทธิที่จะเลือกว่าชอบแบบไหน

แต่แบบให้เลือกบางครั้งก็ไม่ถูกใจสักทาง

คนส่วนใหญ่เลยเลือกที่ใกล้กับที่ชอบมากที่สุด

คนอีกกลุ่มอยากรอเจออันที่ชอบจริงๆ

หากแต่รอนานเกินไปเลยไม่เห็นที่ตรงใจ

เลยไม่ได้เลือกใครไว้ในใจ

เลยโดนว่าไม่รักประเทศบ้าง

บางคนเลยจำยอมเลือกสักทาง ที่ใกล้กับที่ตนเองชอบที่สุด

เลือกที่สังคมใกล้ตัวส่วนใหญ่เลือก หนีไม่พ้นพวกมากลากไป

หากดูแล้วชั้นไม่เลือกใคร หากดูแล้วชั้นนิ่งๆ ดูแล้วเกมือนชั้นไม่ใส่ใจกับอะไรเลย แล้วโกรธชั้น อยากบอกว่า ชั้นเสียใจ

การเดินทางครั้งใหม่

การเดินทางครั้งใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ตุลาคมปีห้าสิบห้า เป็นอีกเดือนที่ไม่ได้อัพบล๊อกเลย
เหตุการณ์ต่างๆได้เกิดขึ้นมากมาย
การเปลื่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย

งานที่เยอะขึ้นในเดือนนี้
มือถือเครื่องใหม่กับการปรับแต่งจนพอใจ นั้นทำให้การใส่ใจในบล๊อกน้อยลง

แต่ที่มีผลที่สุดคือ ละคร ใครจะคิดว่าผู้ชายตัวอ้วนๆดำๆคนนี้จะติดละครตอนอายุสามสิบ
ละครแห่งปีหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ไม่มีใครไม่รู้จัก แรงเงา มุตตา

หากแต่ที่นั่งเฝ้าคอยหน้าทีวีช่องสามเวลาสองทุ่มครึ่งของค่ำวันจันทร์และอังคารหาใช่การสาแก่ใจที่ได้ดูเมียหลวงตบเมียน่อยหรือเมียน้อยตบเมียหลวงไม่ แต่เป็นเหล่าบรรดาตัวประกอบทั้งชายหญิง ทั้งแก๊งคนใช้ หรือเพื่อนที่กระทรวงจอมก๊อดซิบทั้งหลาย

การคัดเลือกนักแสดงในแรงเงาสองพันสิบสองนี้ช่างเก่งจริงๆจนทำให้ผมติดงอมแงม และเชื่อว่าใครอีกหลายคนก็คงเป็นคล้ายๆกัน

นั้นหาใช่ข้ออ้างไม่แรงเงาเป็นรายการบันเทิงทางทีวีที่ผมเฝ้าดูอีกรายการต่อจาก เดอะวอยส์

17.53 นาที ตอนนี้ผมนั่งกดแท๊ปเล๊ตจีนอยู่ที่ดอนเมือง
การเดินทางกำลังจะเริ่มอีกครั้งในปี 2012 นี้ ปลายทางคือที่ที่ผมมิได้เคยสัมผัส เป็นครั้งแรกสำหรับที่นี่ สงขลา หาดใหญ่

เวลาตามบัตรโดยสารนั้นคือ 19.00 จะเรียกขึ้นเครื่องแต่เครื่องจะออกเวลา 19.25

คราวนี้ผมใข้บริการของโอเรียนไทย ปกติอุดหนุนแต่นกแอร์คราวนี้เปลื่ยนบ้างดูซิจะเป็นอย่างไร เอาเป็นว่า ขอให้ถึงที่หมายก็พอ อย่างอื่นเราไม่ว่ากันอยู่แล้ว

ผมโหลดเป้ใบเก่าๆไปเรียบร้อยในบัตรโดยสารแจ้งว่า สี่กิโลกรัม
ใครจะรู้ในนั้นมีคุ๊กกี้สิงคโปร์แสนอร่อยอยู่หนึ่งถุงและหมูหยองอีกหนึ่งถุง

ก้มหน้าพิมข้อความพอเงยหน้าขึ้นมาก็มืดคาตาไฟทุกดวงถูกเปิดขึ้นราวกับคอนเสิร์ตเดอะวอยส์ นาฬิกาข้อมือแจ้งว่าหกโมงห้านาที อีกไม่ถึงชั่วโมงก้นผมจะไปวางอยู่บนยานพาหนะที่บินได้พาผมล่องลองจากกทมเมืองหลวงของเราสู่หาดใหญ่สงขลา

แล้วพบกัน หาดใหญ่

18.05
สนามบินดอนเมือง
08.11.2012

ประกวดร้องเพลง

นานมาแล้วนะที่ผมได้ยิ้มหน้าจอทีวี นานมากแล้วครั้งสุดท้ายรายการที่ชอบก็ถูกถอดออกไป เป็นต่อเดินจากจอไปด้วยเหตุผลที่ยังงงอยู่ว่าทำไม ถึงขนาดมีคนตั้งเพจในเฟสบุ๊คเพื่อว่าไม่ให้ถอดรายการนี้

ประกวดร้องเพลงนั้นคือคำจำกัดความของรายการที่เปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถได้แสดงออกกัน จนมาถึงวันที่ อเคดามี่แฟนเทเซีย รายการที่เป็นเรียวลีตี้มีบ้านหนึ่งหลังให้คุณได้เฝ้ามองผู้แข่งขันทั้งสิบสองคน ซ้อมร้องเพลง ซ้อมเต้น มีไมค์ติดตลอดเวลา ผมตื่นเต้นมาก ตามดูตลอดถ้าจำไม่ผิดสมันนั้นยังเป็นยูบีซีอยู่เลย ทุกเทปในปีแรกสนุกมาก นั้นทำให้ผมประทับใจมาก

แต่แล้วความขลังก็หมดลง ค่อยๆถูกการตลาดกลืนความเป็นมืออาชีพไป เพราะคนที่ชอบมืออาชีพจริงๆ เค้าไม่ชอบโหวต เลยไม่มีรายได้จากเอสเอ็มเอส กลุ่มที่จะโหวตคือสาวๆเด็กๆ เพราะฉะนั้นเลยต้องสวยหล่อตามระเบียบ นั้นทำให้เอเอฟคือพี่วิทย์ในปีแรกและสนในเดอะสตาร์ หล่อไหมล่ะ

แล้วผมเลิกดูประกวดร้องเพลง ไม่เคยลุ้นว่าใครจะชนะ

จนมาถึงเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้เปิดดูเดอะวอยส์ในยูทูป ก่อนหน้านี้ก็ได้เห็นโฆษณาบ้างแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะดีขนาดนี้ สิ่งแรกที่ชอบคือกรรมการทั้งสี่ท่านดูจะเป็นสีสันมาก คาเรกเตอร์ไม่มีใครเด่นกว่าใครนั้นคือส่วนผสมที่ลงตัว จนมาถึงการแนะนำตัวผู้เข้าประกวดก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก
แต่ที่ถูกใจที่สุด นั้นคือดนตรีที่เล่นสดแสงสีมุมกล้องต่างๆทำออกมาได้ดีมาก บันทึกเสียงได้ดีมาก ในทุกคนที่มาแข่งขัน เหมือนเราได้ดูการแสดงสดของศิลปินหน้าใหม่คุณภาพดีแต่ว่าเราไม่รู้จัก การคัดเลือกมีคุณภาพมากจริงๆก่อนถึงรอบนี้ ไม่เหมือนการประกวดเลย

และความสามารถของผู้เข้าประกวดให้แค่ความประทับใจ แต่หากสิ่งที่ทำให้เราสนุกกับรายการ ทำให้รายการที่มีเสน่ห์นั้นคือวิธีการการแย่งกันของโค๊ชทั้งสี่คน จังหวะการกดหันหลังกลับมา เสียงกรี๊ดหลังการที่กดนั้นเป็นอะไรที่ลงตัวมาก รายการนี้อย่าเพิ่งดีแตกนะ นันคือสิ่งที่ผมกลัวมาก  ให้ฟรีทีวีได้มีอะไรให้เฝ้ารอดูบ้างจะขอบคุณมาก

เย็นก่อนวันทำงาน

image

เวลาประมาณหกโมงเย็นของวันอาทิตย์ หรือวันสุดท้ายก่อนที่ พรุ่งจะต้องเข้าสู่ความรับผิดชอบ หากเป็นเด็กก็ต้อง เรียนเขียนอ่าน เย็นนี้การบ้านที่ได้มาตั้งแต่เย็นวันศุกร์ ก็ยังไม่ได่เริ่มเลย ความเครียดคงมาเยื่อนแล้ว หรือวัยทำงาน ความสบายร่างกายที่ได้พักผ่อน ในวันหยุดยาวก็จะจบลง เตรียมตัวไปเริ่มการนั่งหน้าคอม กดคีย์บอร์ด เข้าแปดโมงเลิกงานห้าโมงเย็น รถติดในตอนเช้า พลังงานที่สะสมมาจากเสาร์อาทิตย์ที่ถูกสะสมเอาไว้กำลังจะถูกเอาออกมาใช้ ในวันจันทร์จรดวันศุกร์

แล้วเย็นวันศุกร์เราก็จะกลับมาลั้นหล้ากันอีกครั้ง เพราะฉะนั้น ความรู้สึกมันจะต่างกันโดยสิ้นเชิง นาฬิกาเข็มยาวที่ชี้เลขสิบสองและเข็นสั้นที่ชี้เลขหกในวันศุกร์มันจะเปรมปรีย์ แต่ในวันอาทิตย์มันจะดูหงอยๆ

ดวงอาทิตย์ก็ดวงเดิม ตกที่เดิม แต่ทำไมเวลามองมันแตกต่างกันจัง ทำไมแสงอาทิตย์ก็ทำมุมองศา สาดแสงมาที่เดิม แต่….ทำไมมันรู้สึกต่างกันจัง
ผมเป็นแบบนั้น ไม่รู้ใครเป็นแบบนี้หรือเปล่า ไม่เคยถามใครเหมือนกัน

เคยนั่งหาคำตอบ ว่าทำไม เราจะลั้นหล้ากันในเย็นวันอาทิตย์ได้ไหม ลั้นหล้าและดีใจที่พรุ่งนี้จะได้ออกไปทำงานแล้ว ได้ไปมหาลัยแล้ว ได้ไปโรงเรียนแล้ว หยุดมาตั้งสองวัน คิดถึงจัง ถามว่าเคยเป็นแบบนั้นไหม ตอบว่าเคย… ก็ตอนมหาลัยนั้นแหละ ตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอคนคนหนึ่ง ในเช้าวันจันทร์ เตรียมเสื้อผ้ารีดให้เรียบที่สุด คิดว่าต้องดูดีในสายตาหล่อน หรือนั้นคือคำตอบ การที่เรามีเป้าหมายและอะไรที่เรารู้สึกดีและมีความสุข นั้นทำให้เวลาเดิมๆวันเดิมๆก็ทำให้เรากระฉับกระเฉงได้เหมือนกัน

ผมเคยอยู่ในช่วงที่ไม่มีกรอบนะ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณเกือบๆสองปี ผมสนุกกับทุกๆวันไม่เคยจะแคร์ว่าวันนี้วันอะไรพรุ่งนี้วันอะไร เหมือนหลุดจากข้อบังคับทุกอย่าง สนุกกับเช้าวันใหม่ตื่นออกไปหาเงิน ทำเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น ไม่มีเวลากำหนดว่าเริ่มกี่โมงเลิกกี่โมง กำหนดตัวเอง ว่าออกไปเร็วก็ตื่นเร็วหน่อยก็กลับเข้าบ้านเร็ว ออกไปสายก็อาจจะไม่ได้ตามเป้า อาจจะต้องกลับช้า มีตัวแปรเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ ฝนตกก็นอนอยู่บ้าน เงินในกระเป๋าก็เท่าเดิมรายรับไม่มี ไม่ต้องอธิบายใครว่าทำไมถึงนอนไม่ออกจากบ้าน ไม่ต้องเขียนใบลา ไม่ต้องโกหกใคร อยากหยุดก็หยุด นอนกลางวันได้ตลอด ตื่นมาตอนเย็นก็ออกไปหาเงินใหม่ สนุกกับมันเหมือนชีวิตเป็นของเราจริงๆ หลายๆคนเห็นผมช่วงนั้นแล้วบอกกับผมว่าเหมือนคนเกษียณแล้วเลยเพียงแต่ว่ายังมีแรงที่จะไปไหนมาไหนอยากเที่ยวอยากผจญภัยทำได้เต็มที่ ไม่ต้องรอให้หกสิบก่อนค่อนมาเป็นตัวของตัวเองในวันที่เงินพร้อมเวลาพร้อมแต่แรงไม่มี

ยังไม่สายหรอกหากจะทำอะไรอย่างที่ใจอยาก ชีวิตเป็นของเรา

…ใช้ซะ

สิงหาคมเดือนแห่งวันแม่

หลายๆคนยังมีแม่อยู่ สามารถเจอได้เมื่อยามตื่นนอนและเห็นแม่ก่อนที่จะเข้านอน นั่นทำให้เราเห็นความสำคัญของผู้หญิงคนนี้น้อยลง แบบไม่รู้ตัว โดยปกติแล้วอะไรที่มันมีมากไป มันเยอะไป ทำให้เราไม่ค่อยจะได้ใส่ใจกับมันมากนัก แต่พอถึงเวลาจะเสียมันไป ก็จะวิ่งทำทุกวิธีเพื่อจะให้มีสิ่งนั้นอยู่ต่อไป
“อาจไม่เคยอยู่ในสายตา เหมือนเธอไม่รู้ว่ากำลังหายใจ”
แต่หากวันไหนที่ไม่มีอากาศแล้ว นั่นแหละถึงจะเห็นความสำคัญของออกซิเจน

ทุกช่องทาง ทั้งในทีวี วิทยุ หรือโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ ก็พูดเรื่องนี้กัน ความหมายโดยรวมก็ไม่ต่างกัน คือต้องการให้คนที่ยังมีแม่อยู่ ได้แสดงออกในสิ่งที่ไม่เคยทำ

ได้แสดงออกด้วยการ กอดแม่ บอกรักแม่ แต่เชื่อเถอะว่าความรู้สึกที่ลูกมีให้แม่ และความรู้สึกที่แม่มีต่อลูก ทำหรือไม่ทำ แสดงออกหรือไม่แสดงออก ความรู้สึกมันไม่ได้แตกต่างกันมากนักหรอก เพียงแต่สิ่งที่จะได้คือความประทับใจ ความทรงจำต่างหาก แก่นของเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ความรักมันมากขึ้น เพราะความรักของแม่กับลูกมันมากมายอยู่แล้ว เพียงแต่จะต้องการเตือนให้เราทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้มีโอกาสได้แสดงออก ก่อนที่มันจะสายไป เท่านั้นเอง

ไม่ใช่แค่แม่เท่านั้น การแสดงออกนี้เราสามารถปรับเอาไปใช้ได้กับทุกๆเรื่อง ทุกๆคนในชีวิตของเรา ญาติผู้ใหญ่ ให้ความสำคัญกับทุกๆคน แสดงออกว่าเรารักท่าน
ไม่ใช่แค่กับใครบางคนเพียงเพราะว่าเรามีโอกาสที่จะได้แสดงออกน้อยกว่าคนอื่นๆ

ลองมองในมุมกลับซิ ถ้าไม่มีพรุ่งนี้สำหรับเรา วันนี้คือวันสุดท้าย จะเสียดายแค่ไหนที่ไม่ได้แสดงออก กับทุกๆคน

ทำ… ก่อนที่มันจะสาย บางครั้งเราอาจจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะมานั่งเสียดาย…ด้วยซ้ำไป

หัวหิน ตอนจบ(ซะที)

ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อน น้ำแข็งกับน้ำอัดลมเริ่มช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ผมมองไปเห็นฝั่งตรงกันข้าม เปาะเปี๊ยะสดกล่องละ 30 บาท คือป้ายที่แปะไว้หน้าตู้กระจกเล็กๆ ผมเดินลุกออกจากที่นั่งทุกคนสงสัยว่าผมจะไปไหน ผมหันมาที่น้องและแม่แล้วส่งยิ้มมุมปาก

ผมเสี่ยงตายข้ามถนนไปสั่งแล้วแม่ค้าก็บอกว่า…เดี๋ยวไปส่งให้นะคะ ผมกลับมาที่โต๊ะเฉลยว่าไปไหนมาทุกคนตื่นเต้นกับเปาะเปี๊ยะสดแก้เผ็ด ราคา 30 บาทที่กำลัง จะมาถึง เราชะเง้อคอดูว่าเมื่อไหร่จะมา นานพอดู นานกว่าอาหาร 4-5 อย่างบนโต๊ะเสียอีก แล้วก็มาถึง แม่ค้าเดินเอามาเสริฟ หน้าตาน่ารับประทานมาก(อาหารน่ะแม่ค้ามีอายุแล้ว) น้ำจิ้มถ้วยใหญ่มาก เราดูแล้วเราคิดตรงกันว่านี่ไม่ใช้เปาะเปี้ยสด นี่คือก๋วยเตี๋ยวลุยสวนชัดๆ จะอะไรก็ช่าง รีบทานเหอะ จากของที่คิดว่าจะเอามาทำให้หายเผ็ดกับกลายเป็นนั่งรอของจานนี้จนหายเผ็ดไปแล้ว

13.25 เราเช็คบิลเรียบร้อยด้วยราคา 385 บาท ออกเดินทางสู่การจองตั๋วกลับบ้าน ทางผ่านมีเซเว่น ตุนอะไรสักหน่อยก่อนดีไหมน้องเอ่ยขึ้นมา ผมเห็นด้วยอยู่แล้วเพราะไม่คิดจะไปซื้ออะไรกินบนรถไฟอยู่แล้วแพงจะตาย

จากร้านแซบนัว แซบสุด นัวจริงจัง ไม่นานนักก็มาถึงร้านเลขเจ็ด เซเว่นเพื่อนที่รู้ใจและรู้กระเป๋าตังค์มากที่สุด แอร์เย็นฉ่ำ โปรโมชั่นแจกสแตมป์ ราคาที่เป็นมาตรฐาน มั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของประเทศ เซเว่นไม่เคยฟันหัวเรา เดินวนไปมาหาของทานเล่นรถบนรถไฟ บ่ายสองถึง หนึ่งทุ่ม ผมคำนวณในใจว่าห้าชั่วโมงบนนั้น จะหิวอีกไหมทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นเหยื่อ พ่อค้าแม่ค้าเขี้ยวลากโบกี้รถไฟ ผมได้แซนวิชโบโลน่าหมูหยองมาสองชิ้น น้องสาวคนโตได้สาหร่ายมาชีตะ สาหร่ายจากค่ายเบียร์สิงห์ ปกติก็เถ้าแก่น้อยนั้นแหละ แต่ที่เลือกมาชิตะเพราะ ได้แสตมป์… 3ดวง กันเลยทีเดียว น้องสาวคนเล็กจัดกาแฟเย็นคู่กับชีสไบค์ เพราะมีโปรโมชั่นอยู่ และน้ำสิงห์ขวดใหญ่อีก 2 ขวด ปกติขวดละ 14 โปร 2ขวด 22 บาท เซฟๆๆๆ ก่อนจ่ายเงินผมหยิบ สนิกเกิ้ล ปกติ 27 ลดเหลือ 20บาท 1 อัน

จ่ายเงินเรียบร้อย นาฬิกาบอกว่าเวลาเลย บ่ายครึ่งมาสิบนาทีแล้ว เรามุ่งหน้าตรงช่องขายตั๋ว เราเตรียมการกันที่ร้านแซบนัวเรียบร้อยแล้วว่า จะทำแบบครั้งแรกอีกครั้ง คือเดินไปมึนๆ ไปบอกว่า กรุงเทพสี่คนครับ ซึ่งคราวนี้ผมส่งแม่ไปบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นการผิดสังเกต มาถึงช่องขายตั๋วผมและน้องยืนเป็นกำลังใจให้แม่อยู่ข้างๆช่องขายตั๋วยืนไม่ไกลนักเพราะหากพนักงานถามแม่ว่าสี่คนไหน พวกเราจะได้ส่งยิ้มให้เค้าได้ ไม่นานนักก็ถึงคิวแม่ปฎิบัติการ ผ่านฉลุย…ตั๋วฟรีสี่ใบ เยสสสส สำเร็จแล้วหากแต่เวลายังไม่ถึงที่กำหนด เหลือประมาณ 15 นาที เราไปหามุมนั่งรอ ไม่นานนักน้องๆก็ชวนกันไปห้องน้ำ เป็นการทิ้งทวนก่อนขึ้นเครื่อง(ฟังดูดีอย่างกะเครื่องบิน)

13.55 อีกห้านาทีจะถึงเวลาที่รถไฟจะมา…แต่น้องยังไม่มา เสียงเรียกจากลำโพงก็ดังขึ้น รถไฟเที่ยวกรุงเทพหัวหินกำลังจะเข้าสถานีแล้วคราบบบบบ ผมกับแม่มองหน้ากัน…น้องยังไม่มา เอาล่ะ งานนี้เราจะกลับไปอยู่สามคนพ่อแม่ลูก ทิ้งน้องไว้ที่นี่แหละ แผนทิ้งน้องไว้หัวหินกำลังจะเริ่มขึ้นแต่ก็พังทลาย เพราะสองแฝดเดินมาพอดี เราเดินไปรอรถไฟข้างรางกัน ผมบอกกับทุกคน จัดการแบ่งของกันแบกไป มาถึงรางรถไฟแม่เสนอไอเดีย หากเราไปรอฝั่งตรงกันข้าม จะมีโอกาสได้ที่นั่งมากกว่า เพราะคนจะลงฝั่งนี้(ฝั่งที่เราจะขึ้น)มากกว่านั้นเอง แม่ให้ผมไป บอกว่าแยกกันไป ใครได้ดีกว่าก็โทรมาหากัน ผมก้าวเท้าข้ามรางรถไฟมาฝั่งตรงข้ามกับแม่ส่งสายตา มองไปทางซ้าย เห็นหัวรถไฟไกลๆ ตรงกันข้ามเห็นแม่และน้อง แล้วรถไฟก็เข้าสถานีวิ่งตัดสายตาที่ผมมองมาทางแม่ ผมยกกล้องถ่ายโหมดวีดีโอ แม่ตะโกนอย่ามัวแต่ถ่ายเดี๋ยวไม่มีที่นั่ง

ไม่นานนักผมก็ได้ที่นั่ง เป็นเบาะนิ่มๆเป็นฟองน้ำบางๆดีกว่าครั้งแรกที่เป็นเบาะไม้ ผมถ่างขาและเอาสัมภาระที่ติดตัวมา ขยายเต็มที่ที่สุดเพื่อไม่ให้ใครมายุ่งกับจุดยุทธศาสตร์นี้ ข้างๆที่ผมจอง มีแม่ลูกคู่หนึ่ง เป็นชาวต่างชาติ ขาวหมวย กำลังหาที่พึ่ง ผมพลาดไปแล้วดันไปสบตาเธอเข้า เธอมาหาผมพร้อมกับตั๋วในมือ จับใจความได้ว่าจะไปกรุงเทพใช่ขบวนนี้ไหม ผมก็อธิบายไป แกเห็นว่าคุยกะแกได้เอาใหญ่เลย ถามเรื่องเวลาต่อ ผมก็อธิบายไปชี้ไปที่ตั๋ว แกก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ ก่อนจะขอบอกขอบใจแล้วกลับไปนั่งที่ แม่โทรมาพอดีบอกว่าได้ที่แล้ว ผมก็บอกว่าผมก็ได้ ต่างคนต่างบอกว่าที่ที่ได้ดีอย่างไรเพื่อให้อีกฝ่ายยอมเดินไปหาอีกฝ่าย ผมบอกเรื่องเบาะนิ่มๆ แม่ไม่พูดอะไร แล้วก็พาน้องเดินมาหาผม ผมชนะ พวกเราตื่นเต้นกับที่นั่ง สบายตูด นิ่มกว่าขามาเยอะเลย เราจัดของขึ้นที่สูง และวางใต้ที่นั่งไม่นานนักก็เรียบร้อย

ผมนั่งนึกถึงแว่นตากันแดดที่ผมลอง ไปดูตอนที่ไปดูตั๋วครั้งแรก แว่นกันแดด 100 บาท งานดีมีตัวนูนผมเก็บเอามาลังเลว่าจะลงไปซื้อดีไหม ร้อยหนึ่งจะคุ้มไหม ผมบอกแม่ แม่ห้ามว่าอย่าลงไปเลยเดี๋ยวไม่ทัน ผมบอกว่า ทันๆๆแป๊ปเดียวดูไว้แล้วลงไปฉก จ่ายตังค์แล้วมาเลย …ผมบอกด้วยความมั่นใจพร้อมลุกขึ้นแล้วรีบลงไปสอยแว่นในทันที อย่างที่บอกแม่ ผมลงไปยื่นแบงค์ร้อย หยิบแว่นแล้วส่งยิ้มให้แม่ค้า แม่ค้ายิ้มตอบพยักหน้า แล้วผมก็วิ่งขึ้นรถไฟ เดินมาที่นั่ง…ผมส่งยิ้มให้แม่และน้องพร้อมอวดแว่น ได้มาแล้วววววผมโอ้อวดทุกๆคน แม่หยิบไปดู น้องหยิบไปดูทุกคนพนักหน้า พร้อมพูดออกออกมาว่าสวยดี 100 บาท ทุกคนได้ใส่หมด เป็นกิจกรรมสมานฉันท์ ในราคาคนล่ะ 25 บาท คุ้มแล้ว

14.05 รถไฟออกจากชานชาลาค่อยๆเคลื่อนไป ผมนึกในใจภายใต้แว่นกันแดดอันใหม่…ลาก่อนหัวหิน ไม่นานจะกลับมาอีกครั้ง ไม่นาน สัญญา….

กำลังจะเข้าโหมดซึ้งรถไฟเคลื่อนผ่านต้นไม้ใหญ่ แดดส่องเข้ามาฝั่งที่เรานั่ง ชิป…. เอาล่ะซิ ลืมนึกไปเลยว่าฝั่งนี้แดดจะส่อง ตอนนี้เราทั้งสี่นั่งตัวตรงราวกับนักเรียนเตรียมทหาร หลังติดเบาะ คอตรงตั้งฉากกับแนวเงาของหน้าต่างเพื่อหลบแสงแดด ไม่นานผมสังเกตเห็นว่าหน้าต่างมีชั้นที่เอาไว้กันแสงด้วย เป็นแผ่นเหล็กบางๆ มีช่องแสงเป็นรูยาวๆเพื่อให้ลมและแสงเข้ามาได้ ลองเลื่อนลงดู ว้าวแปลกดีจัง ได้อารมณ์เหมือนเป็นไก่ เป็นกระต่าย หรืออะไรสักอย่างที่ถูกซื้อมาจากสวนจตุจักร แล้วใส่กล่องนมไทย-เดนมาร์คแล้วเจาะรูรอบๆ เพื่อรับออกซิเจน

จากสถานีหัวหินสัก 10 นาที หลอดไฟในรถไฟถูกเปิดขึ้น เราตื่นเต้นกันมาก(จริงๆตื่นเต้นตั้งแต่ขาไปแล้วแต่ลืมเล่าเพิ่งนึกได้) เราสงสัยว่าเปิดทำไม หรือว่า… กำลังจะคิดออกภาพที่หน้าต่างสองข้างทางก็มืดลง ใช่แล้วครับรถไฟเข้าอุโมงค์ ชอบมากตื่นเต้นดี นี่เป็นจุดเดียวที่มีอุโมงค์ตั้งแต่ กรุงเทพถึงหัวหิน สั้นๆครับไม่ถึง 40 วินาทีก็ออกมาสู่แสงแดดอีกครั้ง ในใจผมเลยคิดถึงหนังไทยเรื่องต่างๆที่เป็นภาพรถไฟจากเชียงใหม่ ลอดอุโมงค์ หรือวิ่งริมเขาบรรยากาศสีเขียว ทริปหน้าไปเชียงใหม่กันดีกว่า การผจญภัยครั้งใหม่ผุดขึ้นในหัวอีกแล้ว แค่คิดก็มันส์แล้ว สนุกจริงจริงๆชีวิต

ไม่นานนักแสงแดดก็ค่อยๆอ่อนแรงลง ผมก้มดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือนี่เพิ่งจะบ่ายสามเองทำไมแดดอ่อนล่ะ….ยังไม่ทันละสายตาจากหน้าปัด ก็มีหยดน้ำลงมาที่หน้าปัด นั่นคือ ฝน คุณพระ!!!!ฝนตกบนรถไฟ คนอื่นเค้าปิดหน้าต่างกันแล้วทำหน้าตาเซ็งๆ แต่เรายิ้มดีใจที่ได้เห็นสายฝน ม้าเหล็กกำลังฝ่าสายฝนจากหัวหินไปกรุงเทพ ได้บรรยากาศจริงๆครับ ครบรสมาก หากคุณนั่งรถไฟติดแอร์ ยังไงก็ไม่ได้บรรยากาศแบบนี้แน่นอน ผมปิดหน้าต่างแค่ครึ่งเดียว ให้ละอองน้ำได้เข้ามาบ้างเย็นสบายดี ยังไม่ทันจะอิ่มกับสายฝน ….หมดรอบ เมฆฝนหายไป แดดกลับมาอย่างรวดเร็ว….เรากลับไปเป็นนักเรียนเตรียมทหารอีกครั้ง

ด้วยความที่เป็นรถไฟฟรี วรรณะต่ำสุด ล่างสุด ถูกสุด ชั้นล่างสุด เราต้องเป็นตัวหลบ.. ตัวหลบคือทุกสถานีที่จะมีรถไฟวิ่งสวนทางกับขบวนเรา เราจะถูกโยกไปรางสำรอง นั่งนิ่งๆให้ขบวนที่ไฮโซกว่า วิ่งสวนไป เพราะฉะนั้นเราจะได้เห็นบรรยากาศทุกสถานี เห็นนานกว่า พวกรถไฟไฮโซพวกนั้นมาก ดีกว่าเห็นๆ ร้อนกว่าเห็นๆ

ระหว่างทางที่แวะสถานีจะมีแม่ค้าขึ้นมาขายของ ซึ่งตรงนี้แม่ค้าประจำสถานีของจะถูกกว่าแม่ค้าที่อยู่บนรถไฟ อธิบายก่อน คือ รถไฟของเราจะมีแม่ค้า สแตนบายติดรถไฟตลอด ราวกับอยู่กินกันในนี้เดินตลอด ข้าวผัดกระเพราถาดโฟมบางๆแบบขายผลไม้สดในห้าง มีข้าวบางๆราดผัดกระเพราโป๊ะไข่ดาวแห้งๆ พร้อมช้อนพลาสติก คนอื่นไม่รู้แต่ถ้าเป็นผม 3 ถาดก็กินหมด ถาดล่ะสามสิบบาท นั่นคือแม่ค้า ส่วนพ่อค้า ผมดูแล้วแกสองคนน่าจะเป็นสามีภรรยากัน เดินสวนกันไปมา ถึงตอนนี้อาจจะเป็นแค่เพื่อนร่วมงานแต่ไม่นาน เชื่อผมเหอะเดี๋ยวก็ได้กัน แกขายน้ำอัดลม กระป๋องละ 25-30 บาท งงไหมครับทำไมผมถึงบอกว่า 25-30 ทำไมไม่ 25 หรือ 30 ไปเลย เพราะผมได้ยินคนถามราคา หากเป็นคนแข็งๆหน่อยถามว่า กระป๋องเท่าไหร่่ ทำน้ำเสียงแบบกินก็ได้ไม่กินก็ได้เค้าจะตอบว่า 25 ครับ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนนิ่งๆอ่อนต่อโลก หยิบโค้กกระป๋องขึ้นมาแล้วยื่นแบงค์ร้อยให้ คุณจะได้ตังค์ทอน 70 บาท ข้าวเหนียวข้าวกล่องมีโอกาสขึ้นมาขาย แต่เครื่องดื่ม ผมเห็นพ่อค้าประจำสถานีจดๆจ้องๆไม่กล้าขึ้น ราวกับว่าเป็นถิ่นของพ่อค้าข้างบนรถ สงสัยจดสัมปทานไว้ พวกเราไม่เดือนร้อนอยู่แล้ว พวกเรามี น้ำสิงห์ขวดโต 1.5 ลิตร สามขวดเพียงพอกับการดื่ม แค่ว่าพอเห็นโค๊กกระป๋องที่มีไอเย็นเกาะรอบกระป่องแล้วไหวหวั่นเท่านั้นเอง

ผมไม่มีทีท่าว่าจะเสียท่าให้กับแม่ค้าเลยสักนิดจนมาถึง โพธาราม แม่ค้าอยู่ด้านล่าง อายุไม่น่าจะถึง 30 น่าตาน่ารักสมกับที่เค้าเรียกว่าคนงามโพธารามยิ่งนัก ยืนแบกถาดสแตนเลสตราหัวม้าลาย ในถาดมีกระทงคล้ายกับที่อยู่ตามทางสามแพร่ง กระทงเล็กๆ มีของภายในสีเขียวอมเหลือง ผมชะโงกไปดู อยากรู้ว่าอะไรแต่สิ่งที่ได้ยินคือ สิบบาทค่าาาา ผมถามว่ามันคืออะไรครับผม ข้าวราดแกงเขียวหวานคะ เสียงนุ่มกว่าตอนที่หล่อนตะโกนว่า”สิบบาท” มาก ผมไม่ลังเล ยื่นมือออกจากหน้าต่างรถไฟหยิบมาหนึ่งกระทง แล้วบอกบุพการี แม่มีเหรียญสิบมั้ย แม่ก็น่ารักจ่ายไปสิบบาท เราตื่นเต้นกันมาก ผมเอากล้องขึ้นมาถ่ายภาพ แอบชำเลืองด้วยหางตาถึงโต๊ะข้างๆทุกคนแอบเหล่มาที่เรา ผมทำเป็นตื่นเต้นเป็นสามเท่าเพื่อนยั่วน้ำลายชาวบ้าน ถ่ายไปสักพัก ก็เริ่มชิม สำหรับเมนูนี้ ผมว่า 6-7 กะทงน่ะผมถึงจะอิ่ม ผมตักคำแรกพยายามคอนโทรลให้มีข้าวไก่และน้ำแกงให้อยู่ในหนึ่งช้อนก่อนจะค่อยๆเคลื่อนเข้าปากไป สัมผัสแรก…ข้าวที่คงโดนลมมาสักพักตรงที่อยู่ขอบกระทงถูกปรับสภาพให้กลับมาแข็งเหมือนข้าวสารอีกครั้ง แต่ยังไงดี ที่นั่งข้างๆยังคงชำเลืองผมอยู่ ผมทำสีหน้าแบบช่องทีวีแชมป์เปี้ยนราวกับว่ามันยอดมากฉีกยิ้มแล้วพยายามตักอีกคำ เพียงแค่สี่คำก้หมดกระทง ผมว่าต้องมีคนกลืนน้ำลายตามมั้งแหละ ได้ผลครับโต๊ะข้างๆชะโงกไปซื้อสองกะทง มีความสุขจัง ถ้าไม่นับเรื่องข้าวแข็ง รสชาติโอเคน่ะ อร่อยเลยแหละ ใครมีงานบุญงานบวชไปหาได้ที่ สถานีโพธาราม

ไม่นานแสงอาทิตย์ก็ค่อยๆลาจากเราไป หลอดไฟถูกเปิดอีกครั้ง เหงาแบบเห็นได้ชัด สภาพผู้คนเริ่มนิ่งๆทำหน้าเบื่อๆ คนเริ่มบางตาลงทยอยลงตามที่ต่างๆ เหลือเพียงไม่กี่คนในขบวน ช่วงนี้แหละเป็นช่วงสำรวจรถไฟ ผมคุยกับน้องเรื่องห้องน้ำ ว่าอยากเห็นกันไหมว่าห้องน้ำในรถไฟเป็นยังไง น้องตื่นเต้น เก้าอี้หน้าห้องน้ำว่างพอดีเราไปนั่งตรงนั้นแล้วผลัดกันเข้าไปชม จากสีหน้าตื่นเต้นก่อนจะเข้าไป ตัดภาพกลับมาตอนออกมาจากห้องน้ำ สีหน้าผิดกับขาเข้าอย่างสิ้นเชิง คืนนี้คงหลับฝันดีนะ

ไม่นานนักก็เข้าสู่เมืองกรุง กรุงเทพมหานคร โซนก่อนถึงหัวลำโพง จะมีชุมชนแออัดอยู่ข้างทาง นั้นทำให้รถวิ่งช้ามาก บรรยากาศไม่ดีเอาเสียเลย แม่บอกว่าทำไมปล่อยให้มาอยู่กันแบบนี้นะเราคุยกันเรื่องนี้จนเกือบเครียด ผมตัดบท เก็บของกันดีกว่า เพราะใกล้จะถึงแล้วเราทั้งสี่ใช้ง่ามนิ้วหอบหิ้วเกี่ยวสัมภาระเตรียมลงจากรถไฟ ถึงเสียที กทม อันเป็นที่รักยิ่ง 19.41 คือเวลาที่รถไฟหยุดนิ่ง

เราเดินลงมา ชานชาลาข้างๆมีรถไฟยาวมากด้านข้างเขียนว่า รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 ผมทำเป็นเดินใกล้ๆแล้วแอบดู …น่าไปมากเป็นสองชั้นมีบันไดปีนขึ้นไปนอนมีผ้าม่านส่วนตัว ว้าววว อยากๆๆๆๆ ดูดีไฮโซ แล้วก้มีความคิดผุดขึ้นอีกแล้ว นี่ขนาดชั้นสองน่ะ…แล้วชั้นหนึ่งล่ะ ไม่นานก็ถูกเฉลย ภายในโบกี้เดียวกันนั้นมีชั้นหนึ่งด้วย เป็นห้องแยกปิด ห้องใครห้องมัน น่าสนใจมาก เดินมาที่หัวชานชาลา ที่ป้ายเขียนว่า ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 13 กทมเชียงใหม่ แล้วก็มีเวลา ติดเอาไว้ 19.35 ด่วนยังไงเนี่ย นี่ 19.45 แล้วยังไม่ออกเลย อิอิ แค่เริ่มก็ไม่ด่วนแล้ว ผมเห็นแล้วก็ขำนะ ระหว่างรถด่วนชั้น 1 และชั้น 2 ชั้น 2เขียวความเร็วที่ 90/ชั่วโมง ส่วนชั้น 1 เขียน 100/ชั่วโมง แต่มันอยู่ขบวนเดียวกัน หัวรถจักรอันเดียวกัน ยังไงก็ไปถึงพร้อมกันอยู่ดี ไม่สงสัยดีกว่าเดี๋ยวว่างๆจะลองไปนั่งดูบางทีมันอาจจะวิ่งแซงกันระหว่างทางก็ได้ใครจะรู้

19.45 เราทั้งสี่ได้หย่อนก้นกลมๆที่รถแท็กซี่อีกครั้ง รถค่อยๆเคลื่อนออกจากหัวลำโพงและก็เห็นรถติดที่กรุงเทพ แหม่ภาพชินตาที่ไม่อยากคุ้นเคยกลับมาเร็วจัง 20.25 ก็มาถึงบ้าน

ทุกคนหมดแรงอยากนอน อยากอาบน้ำ เราเอาของกินที่มดจะขึ้นได้ออกมากองก่อนจะจับยัดตู้เย็น…

น้ำสิงห์ 1 ขวดเต็มๆยังไม่ถูกแกะแบกมาจากหัวหิน แวนวิชโบโลน่า 2 อันถูกอัดแน่นเปลื่ยนรูปเป็นแซนวิชเบี้ยวๆ สนิกเกิ้ล ละลายเป็นของเหลวไปแล้ว ผมบีบๆให้อยุ่ทรงก่อนยัดเข้าช่องพรีซ

และหนังสือนิ้วกลมที่ติดไปแต่ไม่ได้อ่านเลย มีติดตัวไว้อุ่นใจคะก็ถูเอาออกจากกระเป๋า

จบแล้วทริปนี้ด้วยของฝากจากหัวหินที่ซื้อจากเซเว่น ^__^

ช่วงนี้ขอขอบคุณ

  • ขอบคุณ พ่อที่เสียสละอยู่บ้านดูแลสัตว์เลี้ยง น้องหมา 2 ชีวิตและน้องแมว 5 ชีวิตเดี๋ยววันหลังให้แม่เฝ้าบ้างแล้วเราไปกันใหม่สองคนน่ะ
  • คนในสายที่โทรมาตลอดการเดินทางโทรมาแช่งให้เปียกฝน โทรมาป่วน แต่จริงๆอยากรู้ใช่ไหมล่ะว่าเค้าถึงไหนแล้ว ห่วงเค้าละซิ
  • สุทัชเพื่อนสมัยมอต้นที่แสนน่ารักที่โทรมาเช้าวันเสาร์บอกว่าอ่านเรื่องเราแล้วสนุกดีน่าติดตามทำให้มีกำลังใจเขียน มะปรางที่คอยแจ้งเมื่อเจอคำผิด มะปรางและมดสำหรับคอมเม้นท์ดีดีที่ให้มีแรงเขียนเช่นกัน และทุกๆคนที่กดไลค์เรื่อยมา
  • คุณด้วยที่หลงเข้ามาอ่านด้วย ขอบคุณที่นั่งอ่าน ยื่นอ่าน นอนอ่านจนจบ
  • ขอบคุณพันทิป เพื่อนๆที่รีวิวที่พัก รีวิวการเดินทาง
  • ขอบคุณเจ้านายที่ให้เงินเดือนที่เอาเป็นค่าใช้จ่ายในมาเที่ยวครั้งนี้
  • ขอบคุณคนที่เสียภาษีเพื่อให้รัฐเอาไปจ่ายค่ารถไฟ ทำให้เราไม่ต้องเสียค่ารถไฟ
  • ขอบคุณเซเว่นทุกสาขาที่แจกแสตมป์
  • ขอบคุณกล้องแคนนอนที่บันทึกภาพแบบที่ได้ดั่งใจ
  • ขอบคุณนายแบบและนางแบบที่อยู่ในภาพทั้งหมด
  • สุดท้ายขอบคุณแม่และน้องสาวที่ถูกพาดพิงหวังว่าคงจะไม่โดนฟ้องนะ ทริปนี้สนุกมากและจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำตลอดไป

ไปเที่ยวครั้งหน้าจะแวะมาเล่าให้ฟังอีกนะทุกๆคน สัญญา…..

สวัสดีครับ
สมโภช จันทร์สุภา
12 สิงหาคม 2555 09:47